เภสัชกร
เภสัชกร (อังกฤษ: pharmacist) คือผู้ที่มีวิชาชีพทางด้านสาธารณสุข (health profession) มีหน้าที่จ่ายยา ให้ผู้ป่วย แนะนำการใช้ยา ติดตามการใช้ยาให้ผู้ป่วย และเป็นผู้ผลิตยา เภสัชกรจะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถหลายสาขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการแพทย์ไม่ว่าจะเป็นทางด้านคลินิก โรงพยาบาล และเภสัชชุมชนซึ่งจะต้องเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ทางเลือกหนึ่งของวิชาชีพเภสัชกรคือการปฏิบัติงานในร้านขายยาซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของร้านเอง (small business) ในงานด้านนี้เภสัชกรนอกจากจะมีความชำนาญในธุรกิจร้านค้าแล้วยังมีความรู้และข้อมูลการใช้ยาทั้งประสิทธิภาพและผลข้างเคียงของยา ตลอดจนการให้ข้อมูลความรู้ให้คำปรึกษาการใช้ยาแก่ชุมชนด้วย เภสัชกรบางครั้งเรียกว่านักเคมี เพราะในอดีตมีการให้ผู้สำเร็จการศึกษาในวิชาเคมีสาขาเภสัชกรรม (Pharmaceutical Chemistry : PhC) มาเป็นเภสัชกรซึ่งเรียกกันว่านักเคมีเภสัชกรรม (Pharmaceutical Chemists) โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ เช่น เครือข่ายร้านขายยาของบู๊ตส์เรียกเภสัชกรของบู๊ตส์ว่า "นักเคมีบูตส์" (Boots The Chemist)
คุณสมบัติของเภสัชกร[แก้]
- สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปในสาขาเภสัชศาสตร์
- มีสุขภาพกายและจิตดี ไม่พิการ ไม่ตาบอดสี มีมนุษย์สัมพันธ์ มีความเป็นผู้นำเพราะอาจทำงานร่วมกับผู้อื่นโดยเฉพาะในงานการผลิต มีบุคลิกภาพดี
- รักในอาชีพ มีความรับผิดชอบสูง
- มีความสนใจในวิชาวิทยาศาสตร์, เคมี และ ชีววิทยา และสอบได้คะแนนดีในวิชาเหล่านี้
- ชอบค้นคว้า ทดลอง ใช้ปัญญาในการวิเคราะห์
- ละเอียด รอบคอบ ช่างสังเกต
- มีความซื่อสัตย์
- ชอบการท่องจำ เพราะต้องจำชนิด ส่วนประกอบของยา ชื่อยาและชื่อสารเคมีในการรักษาโรค ชื่อและประโยชน์ของต้นไม้ที่มียา
ความต้องการขั้นพื้นฐานสำหรับการขึ้นทะเบียน (Registration) เป็นเภสัชกรรับอนุญาตจะต้องเป็น ผู้ที่เรียนจบจากคณะเภสัชศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ซึ่งจะได้รับปริญญาดังนี้
- เภสัชศาสตรบัณฑิต (ภ.บ.) (Bachelor of Pharmacy : B.Pharm.)
- เภสัชศาสตรบัณฑิต (ภ.บ.) (บริบาลเภสัชกรรม) (Doctor of Pharmacy : Pharm.D.)
ระยะเวลาที่ใช้ในการสำเร็จการศึกษาจแตกต่างในแต่ละประเทศดังนี้
- ประเทศไทย ใช้เวลา 6 ปี ได้ ภ.บ. (Pharm.D.)
- สหภาพยุโรป (European Union) รวมถึงสหราชอาณาจักร เดิมเรียน 4 ปีได้ ภ.บ. (B.Pharm.) ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยเรียน 4 ปี ได้ ภ.บ. (แต่เรียก M.Pharm.)
- ประเทศออสเตรเลีย เดิมใช้เวลา 3 ปี ปัจจุบันเรียน 4 ปี ได้ ภ.บ. (B.Pharm.)
- สหรัฐอเมริกา เดิมใช้เวลา 4 ปี ได้ ภ.บ. (B.Pharm.) ปัจจุบันเรียนเพิ่มอีก 2 ปีได้ ภ.บ. (Pharm.D.) มีฐานะเทียบเท่ากับ แพทย์บัณฑิต (พ.บ.) (medical doctor : MD)
หลักสูตรการเรียนเภสัชศาสตร์[แก้]
หลักสูตรมาตรฐานที่ใช้เรียนในคณะเภสัชศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีดังนี้
- เภสัชภัณฑ์ (Pharmaceutics)
- เภสัชเคมี (Pharmaceutical chemistry หรือ Medicinal chemistry)
- เภสัชวิเคราะห์ (Pharmaceutical analysis)
- เภสัชวิทยา (Pharmacology)
- พิษวิทยา (Toxicology)
- จุลชีววิทยา (Microbiology)
- เคมี (Chemistry)
- ชีวเคมี (Biochemistry)
- เภสัชพฤกษศาสตร์ (Pharmaceutical Botany)
- เภสัชวินิจฉัย (Pharmacognosy)
- เภสัชอุตสาหกรรม (Industrial Pharmacy)
- สรีรวิทยา (Physiology)
- กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy)
- อาหารเคมี (Foods Science)
- เภสัชกรรม (Pharmacy)
- กฎหมายยา (Pharmacy law)
- เภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetics)
- เภสัชพลศาสตร์ (Pharmacodynamics)
- ปฏิบัติการเภสัชกรรม (Pharmacy practice) ประกอบด้วย ปฏิกิริยาระหว่างยา, การติดตามผลการใช้ยา (medicine monitoring) การบริหารการใช้ยา (medication management)
- บริบาลเภสัชกรรม (Pharmaceutical care) บูรณาการด้านการใช้ยากับผู้ป่วย และดูแลติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
การจดทะเบียนเป็นเภสัชกร[แก้]
เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยาแก่ประชาชนทั่วไป ประเทศต่าง ๆ จึงได้กำหนดบุคคลที่จะมาเป็นเภสัชกรจะต้องถูกฝึกอบรมมาอย่างถูกต้องและพอเพียงโดยการจดทะเบียน ซึ่งผู้ที่ได้รับการจดทะเบียนจะต้องมีคุณสมบัติและผ่านการสอบ ดังนี้
- ประเทศไทย ผู้ที่ผ่านการศึกษาเภสัชศาสตร์ และต้องการจะได้รับการจดทะเบียนเป็นเภสัชกร ต้องผ่านการสอบรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม จากสภาเภสัชกรรม ก่อน
- ประเทศอังกฤษ ผู้ที่ผ่านการศึกษาเภสัชศาสตร์และต้องการจะได้รับการจดทะเบียนเป็นเภสัชกร จะต้องฝึกงานทางด้านเภสัชกรรมอย่างน้อย 1 ปี ก่อนสอบรับใบอนุญาตจากสมาคมเภสัชกรรมอังกฤษ (Royal Pharmaceutical Society of Great Britain)
- สหรัฐอเมริกา ผู้ที่ผ่านการศึกษาเภสัชศาสตร์และต้องการจะได้รับการจดทะเบียนเป็นเภสัชกร จะต้องการสอบ 2 ด่าน ดังนี้
หน้าที่ของเภสัชกร[แก้]
ส่วนมากเภสัชกรจะพบกับผู้ป่วยในจุดแรกด้วยการสอบถามปัญหาเกี่ยวกับสาธารณสุขพื้นฐานโดยเฉพาะเกี่ยวกับยา การใช้ยา ผลข้างเคียงของยา ฯลฯ ดังนั้นหน้าที่ของเภสัชกรจึงค่อนข้างกว้างซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
- บริหารงานเกี่ยวกับการใช้ยาในทางคลินิก (clinical medication management)
- การเฝ้าติดตามสถานการณ์ของโรคเฉพาะ (specialized monitoring) ที่เกี่ยวกับยาและผลของยาทั้งโรคธรรมดาและซับซ้อน
- ทบทวนการใช้ยาอย่างละเอียดถี่ถ้วน (reviewing medication regimens)
- ติดตามการรักษาโรคอย่างต่อเนื่อง (monitoring of treatment regimens)
- ติดตามดูแลสุขภาพอนามัยทั่วไปของผู้ป่วย (general health monitoring)
- ปรุงยา (compounding medicines)
- ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยทั่วไป (general health advice)
- ให้การศึกษาแก่ผู้ป่วยเป็นการเฉพาะ (specific education) เกี่ยวกับสถานการณ์ของโรคและการรักษาด้วยยา
- ตรวจสอบเพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจ่ายยา (dispensing medicines)
- ดูแลจัดเตรียม(provision)ยาที่ไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์(non-prescription medicines)
- ให้คำปรึกษาและแนะนำผู้ป่วยถึงการใช้ยาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด(optimal use of medicines)
- แนะนำและรักษาโรคพื้นๆทั่วไป(common ailments)
- ส่งต่อผู้ป่วยไปยังวิชาชีพสาธารณสุขอื่นที่ตรงกับโรคของผู้ป่วยมากกว่าถ้าจำเป็น
- จัดเตรียมปริมาณยา (dosing drugs) ในผู้ป่วยตับและไตล้มเหลว
- ประเมินผลการเคลื่อนไหวของยาในผู้ป่วย (pharmacokinetic evaluation)
- ให้การศึกษาแก่แพทย์ (education of physicians) เกี่ยวกับการใช้ยาอย่างถูกต้อง
- ร่วมกับวิชาชีพทางด้ายสาธารณสุขอื่นในการสั่งยา (prescribing medications) ให้คนไข้ในบางกรณี
- ดูแล จัดเตรียม จัดหา และรักษาเภสัชภัณฑ์ให้อยู่สภาพพร้อมใช้งาน (pharmaceutical care)
สาขาวิชาชีพเภสัชกรรม[แก้]
สาขาวิชาชีพเภสัชกรรมพอจำแนกได้ดังนี้:
- เภสัชกรคลินิก (Clinical pharmacist)
- เภสัชกรชุมชน (Community pharmacist)
- เภสัชกรโรงพยาบาล (Hospital pharmacist)
- เภสัชกรที่ปรึกษาการใช้ยา (Consultant pharmacist)
- เภสัชกรสุขภาพอนามัยทางบ้าน (Home Health pharmacist)
- เภสัชกรบริหารข้อมูลยา (Drug information pharmacist)
- เภสัชกรสารวัตรยา (Regulatory-affairs pharmacist)
- เภสัชกรอุตสาหกรรม (Industrial pharmacist)
- เภสัชกรวิทยาศาสตร์การแพทย์ (Medical science pharmacist)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น